สารบัญ
- ศ.หลิน ฟางอวี้ แม้ป่วย แต่ความตั้งใจยังคงอยู่
- คำพูดที่ไม่เคยลืม: “เธอทำได้ดีแล้ว” และ “ขอให้กอดที”
- สามภารกิจที่อาจารย์ฝากไว้ ก่อนกลับจากตำแหน่งรัฐมนตรี
- เมื่อครูไม่ได้มา แต่กำลังใจยังส่งต่อ
- มูลนิธิเพื่ออนาคตของแพทย์รุ่นใหม่
- Q&A
ศ.หลิน ฟางอวี้ แม้ป่วย แต่ความตั้งใจยังคงอยู่
ศ.หลิน ฟางอวี้ หนึ่งในศัลยแพทย์หัวใจทรงอิทธิพลของไต้หวัน และเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลชั้นนำถึง 3 แห่ง แม้จะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมมานานกว่า 5 ปี KUBET แต่ภรรยาของเขา แพทย์หญิงหลิน จิ้งอวิ๋น ก็ได้สานต่อเจตนารมณ์ของสามี
โดยประกาศก่อตั้ง “มูลนิธิศาสตราจารย์หลิน ฟางอวี้ เพื่อการศึกษาแพทย์และสาธารณสุข” ในวันนี้ KUBET
หัวข้อ | รายละเอียด |
---|---|
ชื่อบุคคล | ศ.หลิน ฟางอวี้ |
สาขาวิชาชีพ | ศัลยแพทย์หัวใจ |
ประเทศ/ภูมิภาค | ไต้หวัน |
ตำแหน่งเด่นที่เคยดำรง | ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชั้นนำ 3 แห่ง |
สถานะสุขภาพในปัจจุบัน | ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมนานกว่า 5 ปี |
ภรรยา | แพทย์หญิงหลิน จิ้งอวิ๋น |
สิ่งที่ภรรยาดำเนินการต่อ | ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของสามี |
ชื่อมูลนิธิ | มูลนิธิศาสตราจารย์หลิน ฟางอวี้ เพื่อการศึกษาแพทย์และสาธารณสุข |
วันประกาศก่อตั้ง | วันนี้ |
คำพูดที่ไม่เคยลืม: “เธอทำได้ดีแล้ว” และ “ขอให้กอดที”
ดร.ซือ ฉงเหลียง ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของไต้หวัน KUBET กล่าวในงานว่า เขาเคยเป็นแพทย์รุ่นน้องในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTUH) ในปี 1997 และเคยได้รับการชักชวนจาก ศ.หลิน KUBET ให้เข้าร่วมงานอย่างใกล้ชิด
“ครั้งแรกที่ถูกเรียกเข้าพบในปี 1998 ผมคิดว่าตัวเองอาจโดนจับตามอง KUBET เพราะศ.หลินมักให้โอกาสคนรุ่นใหม่…แต่ผมแต่งงานแล้วนะ!” เขาพูดติดตลก
แต่แท้จริงแล้ว ศ.หลินต้องการชวนเขามาร่วมสร้างระบบที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเข้าดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินเอง ไม่ปล่อยให้เฉพาะแพทย์ฝึกหัดดูแลอีกต่อไป KUBET“ถ้าคุณอยากเป็นแพทย์ประจำ ก็ต้องยอมอยู่เวร ดูแลผู้ป่วยด่านหน้า คุณไหวไหม?”
“แน่นอน ผมตอบว่า ‘ผมยินดี!’ เพราะเขาคืออาจารย์คนแรกที่กล้าลงไปนั่งในห้องฉุกเฉินด้วยตัวเอง”

สามภารกิจที่อาจารย์ฝากไว้ ก่อนกลับจากตำแหน่งรัฐมนตรี
อีกหนึ่งบทสนทนาที่เขาจำได้แม่น เกิดขึ้นเมื่อ ศ.หลินลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในช่วงเหตุการณ์นมปนเปื้อนเมลามีน
ดร.ซือถามว่า “ไม่กลับมา NTUH ด้วยกันเหรอ?” แต่ศ.หลินกลับตอบว่า KUBET ยังมี 3 สิ่งสำคัญ ที่อยากให้เขาทำต่อในหน่วยงานรัฐบาล คือ:
- ปฏิรูประบบการประเมินโรงพยาบาล – ลดความยุ่งยากที่รบกวนการทำงานของบุคลากรด่านหน้า
- ส่งเสริมวัฒนธรรมไม่กล่าวโทษ – ลดความกลัวจากการถูกฟ้องร้อง ให้หมอรักษาด้วยหัวใจ
- ปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพ – ระบบดีแต่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องกล้าทำให้ดีขึ้น
“ศ.หลินบอกผมว่า ระบบประกันสุขภาพของไต้หวันดีมาก KUBET แต่ไม่มีประเทศไหนลอกแบบทั้งระบบไปใช้ แปลว่าเรายังมีช่องโหว่ ต้องกล้าปรับปรุงให้ทันยุค”
เมื่อครูไม่ได้มา แต่กำลังใจยังส่งต่อ
แม้ ศ.หลินจะไม่สามารถมาร่วมงานก่อตั้งมูลนิธิได้ด้วยตัวเอง
ดร.ซือกล่าวว่า “อาจารย์ไม่อยู่ ผมเลยขอ ‘กอดแทน’ จากภรรยาอาจารย์ได้ไหม?”
แพทย์หญิงหลิน จิ้งอวิ๋น ก็เปิดใจโอบกอดเขาด้วยความอบอุ่น KUBETพร้อมส่งต่อคำชมและกำลังใจแทนสามีว่า
“คุณทำได้ดีแล้ว”
มูลนิธิเพื่ออนาคตของแพทย์รุ่นใหม่
การก่อตั้งมูลนิธินี้ ไม่ใช่เพียงการระลึกถึงบุคลากรแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นการจุดประกายให้นโยบายด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไต้หวัน KUBET พัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปตามเจตนารมณ์ของศ.หลิน ฟางอวี้
Q&A
1. ถาม: เหตุใดจึงมีการก่อตั้งมูลนิธิ “ศ.หลิน ฟางอวี้”?
ตอบ: เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของ ศ.หลิน ฟางอวี้ ด้านการศึกษาแพทย์และพัฒนาระบบสาธารณสุข แม้เจ้าตัวจะป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมและไม่สามารถมาร่วมงานได้ด้วยตนเอง
2. ถาม: คำพูดประทับใจที่ ศ.หลิน เคยกล่าวไว้และยังจำได้จนถึงวันนี้คืออะไร?
ตอบ: “เธอทำได้ดีแล้ว” และ “ขอให้กอดที” ซึ่งสะท้อนถึงความเมตตาและกำลังใจที่เขามอบให้ศิษย์เสมอ
3. ถาม: ศ.หลินเคยมอบหมายภารกิจสำคัญใดไว้ให้ ดร.ซือ ฉงเหลียง หลังลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี?
ตอบ: สามภารกิจ ได้แก่ ปฏิรูประบบการประเมินโรงพยาบาล, ส่งเสริมวัฒนธรรมไม่กล่าวโทษ และ ปฏิรูประบบหลักประกันสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น
4. ถาม: จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ ดร.ซือ ฉงเหลียง ตัดสินใจร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ ศ.หลิน คืออะไร?
ตอบ: ศ.หลินชวนเขาสร้างระบบที่แพทย์เชี่ยวชาญดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยตนเอง ไม่ปล่อยให้แพทย์ฝึกหัดรับผิดชอบเพียงลำพัง และศ.หลินยังลงไปนั่งทำงานในห้องฉุกเฉินด้วยตัวเอง
5. ถาม: มูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นมีเป้าหมายระยะยาวอย่างไร?
ตอบ: เพื่อพัฒนาแพทย์รุ่นใหม่และส่งเสริมนโยบายด้านสุขภาพของไต้หวันให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของ ศ.หลิน ฟางอวี้
เนื้อหาที่น่าสนใจ: